Where We Belong review | เราเกิดจากความว่างเปล่า และสลายลงในความว่างเปล่า
WHERE WE BELONG
(Kongdej Jaturanrasamee)
ผู้กำกับ
“คงเดช จาตุรันต์รัศมี”
ยังคงผสมผสานความเป็นตัวเองเล่าหนังเรื่องใหม่สะท้อนภาพการเปลี่ยนผ่านของห้วงยุคสมัยอยู่อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การกำกับหนังเรื่องแรกอย่าง
“สยิว” และการนำเสนอในประเด็นเรื่องของตัวตน การค้นหาความเป็นมาของตัวเรา
ตลอดจนการสะท้อนล้อไปกับภาพการเมืองที่เปลี่ยนผ่านตามยุคสมัยนั้นชัดเจนอย่างมากนับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง
“แต่เพียงผู้เดียว” เมื่อเจ็ดปีก่อน
ที่จารึกหลักไมล์ของการค้นหาตัวตนในหนังของเขาที่ยั่วล้อไปกับภาพของสังคม
และการเมืองในประเทศไทยในปัจจุบัน
ความชัดเจนในเชิงการเมืองที่เกิดขึ้นในหนังที่ตั้งคำถามกับตัวตน
และความเป็นไปของวัยรุ่นที่สอดคล้องไปกับภาพของการเมือง วัฒนธรรม
และสังคมที่เข้มข้นเห็นได้อย่างชัดเจนในหนังเรื่อง “ตั้งวง” หรือแม้แต่ในหนังเรื่อง “เอวัง”
ที่แม้จะขาดความคมคายในการนำเสนอมากไปเสียหน่อยก็ตาม
ก่อนจะมาถึงกับภาพยนตร์ที่จับห้วงเวลาสำคัญเชิงเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอย่าง
“Snap”
ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่น่าสนใจไปกว่าหนังไทยหลายเรื่องที่เอาพาร์ทของความสัมพันธ์ระหว่างคู่ตัวละครเอกของเรื่อง
และบุพื้นหลังของมันด้วยภาพของเหตุการณ์ทางการเมืองก็ตามทีอย่างภาพยนตร์ที่ชัดเจนมากที่สุดเรื่องหนึ่งในความทรงจำ
ณ ตอนนี้ของผู้เขียนคือ “October Sonata รักที่รอคอย”
ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ชัดเจนมาก ซึ่งดูจะค่อนข้างต่างกับหนังเรื่องก่อนหน้าหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับอยู่บ้างก็ตรงที่ความจงใจใส่ความเข้มข้นที่ในหนังของคงเดชเองจะมีการลิ้มรสที่อ่อนเบา
และเน้นสัมผัสของการแตะอย่างแผ่วเบาของความรู้สึกมากกว่าเท่านั้นเอง
สำหรับหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับนั้นดูจะเป็นส่วนผสมที่ชัดเจนในหลายๆอย่างจากงานของผู้กำกับแทบทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่หลังเรื่อง “แต่เพียงผู้เดียว” เป็นต้นมา
เพียงแต่การผสมผสานในหนังเรื่องล่าสุดนั้นเพิ่มความเข้มข้นของเส้นเรื่องความสัมพันธ์มากยิ่งขึ้น
หาใช่เพียงแต่การเล่าความสัมผัสอันแผ่วเบาของความสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเล่าให้เห็นถึงเรื่องราวที่เป็นรูปร่างทางกายภาพที่จับต้องได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ประเด็นของหนังเรื่องนี้ยังวนเวียนอยู่ที่เรื่องราวของการค้นความเป็นตัวตนของเรา
บุพื้นหลังด้วยการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เพื่อสะท้อนภาพของยุคสมัย
จริงๆแล้วชื่อที่หนังเรื่องนี้ใช้เองก็เป็นตัวจำกัดความที่ชัดเจนอยู่แล้ว
เหมือนกับหนังหลายๆเรื่องของผู้กำกับที่เลือกชื่อของหนังที่สะท้อนไปเดียหลักของการเล่าเรื่องอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นในหนังเรื่องนี้
จึงเหมือนภาพของการตั้งคำถามของการค้นหาสถานที่ที่เหมาะกับตัวละครที่ยังไม่สามารถให้คำจำกัดความความเป็นตัวเราออกมาได้
ตัวเราแต่ละคนนั้นไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัวตั้งแต่เกิด
เราอาจจะมีภาพของฟีโนไทป์ตามจีโนไทป์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน
แต่ในท้ายที่สุดเมื่อมนุษย์เราโตขึ้นมาสัมผัสกับสภาพแวดล้อม
ด้วยความที่เราเองล้วนเป็นนักฉกฉวยตั้งแต่ในกรรมพันธุ์แล้ว
การขโมยสิ่งที่เข้ามาสัมผัสตัวเราจึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
และสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เกิดเป็นตัวเรา
ตัวเราคือร่างทรงอันประกอบขึ้นอย่างทีละเล็กละน้อยจากสิ่งรอบตัวที่เราได้สัมผัส
ไม่ว่าจะความคิด หรือกระบวนการคิดเองก็ตามที ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นที่ผ่านกระบวนการภายในตัวเราที่เลือกรับหรือไม่รับสิ่งใดจะสร้างตัวเราจากการประกอบร่างด้วยสิ่งเหล่านี้
และตัวเราที่เป็นจะแข็งแรงมากยิ่งขึ้นจนเลือกปฏิเสธความไม่เป็นตัวเรามากยิ่งขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น
จริงๆตรงส่วนนี้เคยมีงานวิจัยที่สะท้อนว่าเมื่อเราอายุมากขึ้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆก็จะน้อยลง
และเราเองจะเลือกรับแต่สิ่งที่อยู่ในเกณฑ์ของตัวเรามากยิ่งขึ้น
สำหรับหนังเรื่องนี้นั้นที่ได้นักแสดงหน้าใหม่มารับบทนำ
ซึ่งถือว่าทำได้ไม่แย่นักกับการแบกรับบทของความเป็นวัยรุ่นที่ได้รับแรงกระทบทางจิตใจ
ความว้าวุ่น และสับสนของช่วงวัย
ซึ่งในแง่ของการสะท้อนภาพของวัยรุ่นในหนังเรื่องนี้ถือว่าทำได้ดีทีเดียว
หลายครั้งความสับสนของช่วงวัยถูกตัดสินด้วยเหตุ และผล แต่ในหลายครั้งความสับสน
และความไม่เข้าใจถูกตัดสินด้วยอารมณ์ฉับพลัน
และรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง จริงๆแล้วภาพสะท้อนของมนุษย์เราถูกอธิบายในหนังได้ค่อนข้างน่าสนใจ
ปมบางอย่างที่ถูกกักขังไว้ข้างในใจที่บีบให้ตัวเราเหมือนก้อนของความรู้สึกที่ปะทุอยู่ภายในทำให้เราแสดงอาการเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของโลกทั้งใบ
ในครั้งหนึ่งวัยรุ่นส่วนมากมักจะเชื่อว่าอย่างนั้น และพยายามที่จะเข็นโลกที่กำลังหมุนไปให้ไปตามใจของตัวเอง
ซึ่งพอท้ายที่สุดมันไม่เป็นดั่งใจก็จะเต็มไปด้วยความผิดหวัง และเสียใจอย่างรุนแรง
สำหรับหนังเรื่องนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นในหนังเองมันรุนแรงมากกว่านั้น
แรงปะทุของสถานการณ์ในบทสรุปของหนังมันนำมาซึ่งภาพสะท้อนของตัวละครที่ได้รับแผลกระทบกระเทือนทางจิตใจที่ไม่อาจเยียวยาได้
บางครั้งมันได้ยาบรรเทาอาการ
แต่ท้ายที่สุดเมื่อมันไม่สามารถเยียวยาได้มันก็ปริแตกออกมาเป็นพลังของความผิดหวังที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
หนังเล่าภาพตรงส่วนนี้ได้ค่อนข้างดีมากทีเดียว
แม้ว่าในรายละเอียดของเรื่องราวแล้วจะยังมีปัญหาเนื่องจากรายละเอียดที่ใส่เข้ามาค่อนข้างมาก
และการขยับขยายของเรื่องราวในหลายๆช่วงก็เกิดขึ้นไม่มากนัก
ทำให้ส่วนเกินของเรื่องราวมันเยอะมากจนเกินความจำเป็น แม้กระนั้นก็ตามการหาทางลง
หรือการตบเรื่องราวให้เข้าร่องเข้ารอยก็ยังจบได้ดีอยู่
และสะท้อนภาพของการค้นความตัวตน ความเป็นตัวเอง และสถานะที่ควรอยู่
เต็มไปด้วยบาดแผลของความเป็นวัยรุ่นได้เจ็บปวด
และโดดเดี่ยวที่แม้แต่ผู้คนรอบกายก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
หนังฉายในโรงภาพยนตร์ไทยตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2562
International Sales : BNK48 Films
by Sutiwat Samartkit
(28/06/19)
Post a Comment