Karlovy Vary 2019: A Certain Kind of Silence | เมื่อมนุษย์ตีกรอบความรัก
CERTAIN KIND OF SILENCE
(Michal Hogenauer)
Karlovy Vary Film Festival 2019
ผู้กำกับชาวเช็กหยิบเรื่องราวของวัฒนธรรมของกลุ่มคัลท์ที่เป็นข้อถกเถียงในหน้าข่าวเมื่อราวหกถึงเจ็ดปีก่อน
โดยโฟกัสพื้นหลังของเรื่องราวไว้ที่ประเทศเยอรมันโดยเรื่องราวที่ว่านั้นคือ
เรื่องของ “Twelve Tribes” ที่มีความคิดความเชื่อที่เหมือนหลุดจากโลกของความเป็นจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนลูกของพวกเขาที่เป็นคดีความครหาถึงการล่วงละเมิดเด็ก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการทำโทษแบบโบราณอย่างการให้เด็กถอดกางเกงโก่งโค้งและใช้ไม้หวดก้น
โดยเชื่อว่าจะเป็นการไล่สิ่งชั่วร้าย และเป็นสัญลักษณ์ของความรัก
หนังหยิบจับพฤติกรรมชวนแปลกประหลาดของกลุ่มความเชื่อของตัวละครในเรื่องเป็นพิ้นหลังในสถานการณ์ที่ถูกเซ็ตขึ้นมาโดยให้ตัวละครที่รับงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อทำงานในเยอรมันต้องมาเผชิญกับกลุ่มวัฒนธรรมประหลาดที่ไม่เข้ากันกับค่านิยมความเชื่อของโลกใหม่
ในปัจจุบันมีรายงานว่ากลุ่มนี้ดังกล่าวมีสมาชิกหลายพันคนอยู่ทั่วโลก
จากประวัติแล้วกลุ่มเผ่าประหลาดนี้ถูกตั้งขึ้นราวสี่สิบกว่าปีก่อนครั้งแรกที่อเมริกา
โดยขยายสาขาออกไปทั่วโลกทั้งในอังกฤษ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, สเปน, สาธารณรัฐเช็ก,
ออสเตรเลีย, อาเจนติน่า และแคนาดา โดยสร้างสังคมที่แยกออกจาสังคมปกติ
และมักรวบรวมคนที่ไม่พอใจกับชีวิตในปัจจุบันที่เป็นอยู่ในสภาพของไลฟ์สไตล์ของโลกยุคใหม่
โดยเชื่อว่าพหุวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมโลกทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของฆาตกรรม
และอาชญากรรม ความเคร่งครัดของกลุ่มลัทธิความเชื่อนี้มีมากถึงขนาดที่ห้ามเด็กเล่น
การเล่นถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเด็ก
ความน่าสนใจค่อนข้างมากคือการวางความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ระหว่างลูก และพ่อแม่
มีความเชื่อในมุมมองที่ต่างออกไปต่อประเด็นนี้
ดังที่เกิดขึ้นในหนังในช่วงหนึ่งของการตัดสินใจละทิ้งความสัมพันธ์กับลูก
ความลึกลับของความคิด
และวัฒธรรมที่ต่างจากสังคมปกติทั่วไปถูกเอามาใช้เล่าในหนังเรื่องนี้ที่สร้างประเภทของหนังลึกลับขึ้นมาได้น่าสนใจพอสมควร
แม้ว่าหนังเองจะมีวัตถุดิบเบื้องหลังของเรื่องราวที่ดี
ที่เอื้อโอกาสให้เกิดการแตกแขนงออกไปวิพากษ์ข้อขัดแย้งที่เกิดในใจของตัวละครได้มากขึ้น
แต่การเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยเล่นกับเลเยอร์ของความลึกลับ
และพรมแดนของการตั้งคำถามในสภาวะแวดล้อมที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ
มันทำให้ความสนใจของหนังดูน้อยลงจนค่อนข้างธรรมดามากกว่าที่คาด
เข้าใจว่าหนังเรื่องนี้หยิบยืมไอเดียมาจากการที่ตำรวจเยอรมันบุกเข้าไปจับกุมพ่อแม่ในลัทธิที่บัลวาเรีย
และเอาเด็กกว่าสี่สิบคนเข้าไปในสถานสงเคราะห์
ซึ่งในครั้งนั้นก็เป็นปัญหาประเด็นเรื่องของการล่วงละเมิดเด็ก
ความน่าสนใจที่ทำให้วัตถุดิบของหนังเรื่องนี้อย่างการเอามาเป็นพื้นหลังของเรื่องราวที่ผลักดันบริบทแยกจากสังคมปกติส่วนใหญ่คือ
ลักาณะของสภาพชุมชนที่ไม่ใช่ลัทธินอกรีดที่แยกออกมาจากรากของความเชื่อที่ต่างออกไปจากสังคมคริสต์เสียทีเดียว
ความน่าสนใจของมันคือ การที่มันตีความคำสอนของคริสต์อย่างพันธะสัญญาเก่าและใหม่
และเชื่อในการลงโทษทางร่างกาย ซึ่งการตีความที่ดูผิดเพี้ยนไปจากส่วนใหญ่ในรากที่ไม่ได้แตกต่างกันมาก
สร้างพื้นที่ของหนังให้มีความเชื่อมโยงกับโลกปัจจุบัน
ท่ามกลางความรู้สึกจริงๆนั้นเป็นภาพของสถานที่
และเหตุการณ์ที่ทำให้มันเป็นเอกเทศไม่สมบูรณ์
เพราะฉะนั้นในขาข้างหนึ่งของมันจึงยืนอยู่ในพื้นที่ของความปกติโดยทั่วไป
แต่ในที่ขณะอีกข้างหนึ่งของขาของมันนั้นยื่นไปสู่พื้นที่ที่ลึกลับ
และมีบริบทที่ยากจะเข้าใจต่างออกไปจากสังคมโดยส่วนใหญ่
ซึ่งมันทำให้หนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว
แต่อย่างที่บอกไปว่าการผลักดันวัตถุดิบของหนังเรื่องนี้ยังขาดการสร้างเลเยอร์ที่ดี
และการสร้างความเข้มข้นของเรื่องราวค่อนข้างมากทีเดียว
มันกลายเป็นประเด็นปัญหาของการต่อยอดที่หนังเองไม่สามารถผลักดันตัวเองจากความเอื้ออำนวยของประเด็นออกมาได้อย่างดีมากนัก
แม้กระนั้นก็ดีการเล่นกับช่วงจังหวะเวลาของหนังที่ค่อยๆคืบคลานเข้าไปกระเทาะเปลือกของความสัมพันธ์กับพื้นที่อันลึกลับในสภาพการร์ทางกายภาพที่ปกตินั้นก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
หนังมีจังหวะเวลาของการดึงเข้าดึงออกของตัวละครในความสัมพันธ์นั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การเล่นกับพรมแดนของความรู้สึกของตัวละครที่มีต่อโลกใบใหม่ในพื้นที่ใหม่ที่ตัวละครเองเข้าไปสัมผัสนั้นค่อยๆสร้างตัวตนของการตระหนักความรับรู้ตัวเองของตัวละครขึ้นมาทีละน้อย
และพยายามเรียนรู้เข้าใจโลกในพื่นที่ใหม่ที่บิดเบี้ยวไปจากภาพของการรับรู้ก่อนหน้านี้ของตัวละครทั้งสิ้น
ความน่าสนใจของมันตรงส่วนนี้สร้างการเปลี่ยนผ่านตัวตนของตัวละคร
ในทางหนึ่งมันอาจถูกมองว่าเป็นการปรับตัว
และทำความเข้าใจกับความเชื่อใหม่ที่บิดพริ้วไปจากแบบแผนความเชื่อที่เคยสั่งสมมา
แต่ในขณะเดียวกันนั้น
หนังเรื่องนี้เองกลับสร้างภาพของพื้นที่ของตัวละครที่มุ่งสำรวจความป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวละครมากยิ่งขึ้น
พูดง่ายๆก็คือการเล่นกับพื้นที่ของตัวละครที่ดำดิ่งลึกลงไปในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้
ดึงความเป็นสัญชาติญาณของการใช้ความรุนแรงที่แฝงอยู่ในยีนของมนุษยืออกมานั้นเอง
การพูดถึงการให้อำนาจ
การติดอาวุธและการสร้างอำนาจที่เพิ่มขึ้นของตัวละครในพิ้นที่แห่งใหม่ที่สามารถกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์
และลำดับชั้นของอำนาจขึ้นมาใหม่ได้
จากแต่เดิมที่ภาพของเธอดูเป็นคนชั้นล่างที่ไร้อำนาจใดๆมาในประเทศของเธอจนต้องระหกระเหินมาทำงานในต่างประเทศ
แต่กระนั้นก็ดีด้วยความดีงามทั้งหลายยังไม่มากเพียงพอที่จะผลักดันบทสรุปที่ค่อนข้างอ่อนแอของหนังในปมสรุปท้ายเรื่องให้มีพลังได้มากกว่าเดิมนัก
แต่อย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับงานขนาดยาวเรื่องแรกนับจากการเข้าประกวดในสายหนังสั้นและขนาดกลางเมื่อราวเจ็ดปีก่อนของเขา
Certain Kind of Silence เข้าฉายที่เทศกาลหนังการ์โลวี วารี ครั้งที่ 54
International Sales : -
by Sutiwat Samartkit
(25/08/2019)
(25/08/2019)
Post a Comment